มาทำความรู้จัก สนามแข่งระดับโลก Nürburgring ประเทศเยอรมนี สนามแห่งนี้เป็นที่โจษจัน และเป็นสนามที่เล่าขานกันว่า โหด เหี้ยม ยาก อันตราย และมีเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายเกิดขึ้น วันนี้เรามาทำความรู้จักกับสนามแข่งรถเจ้าของฉายา “The Green Hell” หรือ “นรกสีเขียว” กัน
สนาม Nürburgring ถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1925-1927 นูร์เบอร์ก เมืองโบราณในเขตเทือกเขาไอเฟล (Eifel) ทางตะวันตกของประเทศเยอรมนี เมืองสำคัญของแคว้นบาเยิร์น ห่างจากมิวนิก เมืองหลวงของแคว้นไปทางเหนือราว 170 กิโลเมตร นับเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 รองจากมิวนิก และห่างจากเมืองโคโลญจ์ 70 กิโลเมตร และ 120 กิโลเมตร จากเมืองแฟรงก์เฟิร์ต
โดยวัตถุประสงค์ในตอนแรก คือ สนามแข่งขันรถยนต์ ต่อมาในปี ค.ศ.1927 ได้เปิดให้เป็นสนามในการทดสอบรถยนต์อีกด้วย สนามแบ่งเป็นทั้งหมด 4 ส่วน ดังนี้
1.สนามใหญ่ที่รวมทุกส่วนไว้ทั้งหมด เรียกว่า Gesamtstrecke (Whole Course) มีความยาวทั้งสิ้น 28.265 กิโลเมตร
2.Nordschleife (Northern Loop) ความยาว 22.810 กิโลเมตร
3.Sudschleife (Southern Loop) ความยาว 7.747 กิโลเมตร
4.Zielschleife (Finish Loop) หรือ Betonschleife ความยาว 2.281 กิโลเมตร ใช้สำหรับอุ่นเครื่อง GP-Strecke ความยาว 5.148 กิโลเมตร เป็นสนามที่สร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1982 เพื่อใช้แข่งรถทางเรียบ ตรงบริเวณที่เดิมที่เป็นจุดเริ่มต้น และเส้นชัยของสนาม ซึ่งปัจจุบันใช้เป็นสนามหลักของการแข่งขัน
สนามแห่งนี้ถูกสร้างมาเพื่อใช้สำหรับแข่งขันรถยนต์สูตรหนึ่ง รายการเยอรมัน กรังด์ปรีซ์ตั้งแต่ปี 1947 จนถึง 1970 ก่อนที่สนามจะถูกงดทำการแข่งขันไประยะหนึ่ง เนื่องจากความยาก และอันตรายของสภาพภูมิประเทศ และเส้นทางทำให้มีนักแข่งหลายต่อหลายคนต้องจบชีวิตไปกับสนามแห่งนี้
ต่อมาสมาพันธ์ยานยนต์แห่งประเทศเยอรมัน (ADAC – Allgemeiner Deutscher Automobil Club) ได้ใช้สนามแห่งนี้เป็นหนึ่งในรายการ ADAC 24Hours Rennen Nürburgring ตั้งแต่ปี 1970 จนถึงปัจจุบัน โดยใช้เส้นทาง Nordschleife (Northern Loop) ความยาว 22.810 กิโลเมตร รวมกับ GP-Strecke ความยาว 5.148 กิโลเมตร รวมกันได้ระยะทางทั้งสิ้น 26 กิโลเมตร
ซึ่งในระยะเวลา 24 ชั่วโมงหลังจากออกสตาร์ท ภายใต้พวงมาลัย นักแข่งทุกคนต้องเผชิญกับความท้าทายของสนาม ทั้งความเร็วสูง โค้งแคบ หักศอก โค้งกะทันหัน ทางขึ้น-ลง สูงต่ำบนเนินเขา และจุด Blind corner ที่พร้อมจะทดสอบความสามารถของนักแข่งได้ทุกเวลา ด้วยคุณสมบัติที่กล่าวมา สนามแห่งนี้จึงกลายเป็นสนามเวิลด์ กรังด์ปรีซ์ที่ติดอันดับความสำคัญ และมีชื่อเสียงติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลก